25.11.52

รูปแบบแผนการรุก Offence ในกีฬาวอลเลย์บอล (ตอนที่ 3)

หลังจากได้นำเสนอรูปแบบแผนการรุกขณะที่มีตัวรุกอยู่แดนหน้า 2 คนไปแล้วสองตอน ในตอนนี้ผมจะนำเสนอรูปแบบการรุกที่มีผู้เล่นอยู่แดนหน้า 3 คน อาจจะกล่าวได้ว่ารูปแบบการรุกนี้เป็นรูปแบบที่มีประสิทธิภาพกว่า หากดูที่จำนวนของผู้ทำการรุก แต่นั่นก็ไม่ใช่ความจริงเสมอไปหากองค์ประกอบต่าง ๆ ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
ตัวอย่างรูปแบบแผนการรุก

การรุกหน้า 3 คนโดยไม่มีผู้เล่นตัวรุกจากแดนหลัง

รูปแบบแผนการรุกที่มีตัวรุกอยู่แดนหน้า 3 คนสามารถแบ่งความแตกต่างออกได้เป็น 3 ลักษณะ คือ การรุกแบบแยกตำแหน่ง การรุกแบบ 1 บอลหลัก 2 ผสมผสาน และการรุกแบบ 3 ผสมผสาน

1. การรุกแบบแยกตำแหน่ง


รูปแบบการรุกลักษณะนี้เป็นแผนการรุกที่ไม่มีความซับซ้อน โดยผู้เล่นแต่ละตำแหน่งในแดนหน้าจะทำการรุกในลักษณะต่างๆ กันโดยไม่มีการรุกแบบผสมผสาน (Combine)

รูปแบบการรุกลักษณะนี้ ทำให้แนวสกัดกั้นของคู่ต่อสู้ต้องใช้ความสามารถในการเคลื่อนที่เพื่อทำการสกัดกั้นมาก แต่ก็ง่ายต่อการคาดคะเน เพราะการเคลื่อนที่ของผู้เล่นตัวรุกไม่มีความซับซ้อน แผนการรุกลักษณะนี้อาจถูกแก้โดยฝ่ายตรงข้ามด้วยการใช้วิธีสกัดกั้นตัวต่อตัวและให้ตัวสกัดกั้นในตำแหน่งกลางหน้าเคลื่อนที่ไปช่วยตัวสกัดกั้นตำแหน่งหัวเสาหน้าหรือหลัง ทำให้แผนการรุกลักษณะนี้มักจะมีฝ่ายตรงข้ามอย่างน้อย 1 คน สกัดกั้นในทุกตำแหน่ง

แผนการเล่นลักษณะนี้โดยมากจะใช้ได้ผลดีในขณะเป็นการรุกแบบโต้กลับ (Counter attack) มากกว่าการรุกครั้งแรก (First attack) เพราะในการรุกโต้กลับแนวสกัดกั้นจะมีการประสานงานได้ไม่ดีเท่าการสกัดกั้นการรุกครั้งแรก
เดเดเดเ


2. การรุกแบบ 1 ผู้เล่นหลัก 2 ผสมผสาน

รูปแบบแผนการเล่นลักษณะนี้เป็นแผนการเล่นที่พบได้บ่อยที่สุดในการแข่งขัน ลักษณะสำคัญของแผนการรุกนี้คือ จะมีผู้เล่นแดนหน้า 1 คน ทำการรุกด้วยการตบหัวเสา (Outside) ด้านซ้าย C หรือด้านขวา Cb และจะมีผู้เล่นอีก 2 คน ทำการรุกแบบผสมผสานบริเวณอีกด้านของการรุกบอลหลัก

ข้อแนะนำ/ข้อสังเกตุ

การใช้แผนการรุกลักษณะนี้มีหลักแนวคิดในการใช้แผนการรุกโดยขึ้นอยู่กับศักยภาพของตัวรุก การสกัดกั้นของคู่ต่อสู้ ที่ผู้ฝึกสอนหรือตัวเซตจะต้องพิจารณาว่าจะโจมตีจุดใด ด้วยลักษณะการโจมตีแบบใด โดยผู้ฝึกสอนอาจจะประยุกต์ใช้จากแนวคิดต่อไปนี้


2.1 โจมตีบริเวณที่สกัดกั้นอ่อนที่สุด เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกสอนควรต้องฝึกให้ผู้เล่นปฏิบัติ เราสามารถใช้เลือกใช้กลยุทธ์การโจมตีได้ 2 ลักษณะคือ ใช้การรุกจากบอลหลักโจมตี หรือการใช้การรุกผสมผสานโจมตี


2.1.1 ใช้ผู้เล่นตัวหลักตบหัวเสาโจมตี (Outside) จากภาพที่ 4 และ 5 เป็นการรุกโดยใช้การตบหัวเสาด้านหน้าหรือด้านหลัง โดยในภาพที่ 4 จะใช้ผู้เล่นตัวรุกตำแหน่งที่ 2 และ 3 ทำการรุกแบบผสมผสานเพื่อสร้างความพะวงให้กับแนวสกัดกั้นตำแหน่งที่ 3 และ 4 ของคู่ต่อสู้ ซึ่งจะทำให้มีผู้สกัดกั้นในตำแหน่งที่ 3 เคลื่อนที่ไปช่วยสกัดกั้นการรุกหัวเสาได้ยากขึ้น

2.1.2 ใช้การรุกผสมผสานโจมตี จากภาพประกอบที่ 4 จะให้ผู้เล่นตำแหน่ง 2 และ 3 ภาพที่ 5 ใช้ผู้เล่นตำแหน่ง 3 และ 4 เป็นผู้เล่นที่รุกแบบผสมผสานโจมตีคู่ต่อสู้ โดยผู้เล่นตำแหน่งที่ 4 (ภาพที่ 4) และผู้เล่นตำแหน่ง 2 (ภาพที่ 5) จะเป็นผู้เล่นที่ทำให้แนวสกัดกั้นของคู่ต่อสู้ต้องคอยระวัง

อย่างไรก็ตามในสถานการณ์การแข่งขันจริง ต้องใช้การรุกทั้ง 2 รูปแบบในการโจมตี เพื่อไม่ให้แนวสกัดกั้นของคู่ต่อสู้จับทางได้ง่าย


3. การรุกแบบผสมผสาน 3 คน


แผนการรุกลักษณะนี้เป็นการรุกที่ผู้เล่นแดนหน้าทั้ง 3 คนจะทำการรุก ณ บริเวณใดบริเวณหนึ่งทั้ง 3 คน (ดูภาพประกอบ)

แผนการรุกลักษณะนี้ อาจใช้ผู้เล่น 2 คน รุกด้วยบอลเร็ว (Quick spike) หรือการใช้ผู้เล่นตบบอลเร็วเพียง 1 คน
คำอธิบายเพิ่มเติม การใช้แผนการรุกลักษณะนี้ สิ่งที่ต้องคำนึงคือ การรับลูกเสริฟจะต้องมีประสิทธิภาพมาก และความสามารถของผู้เล่นตัวเซตจะต้องมีความเฉลียวฉลาดพลิกแพลงสถานการณ์ชิงจังหวะกับผู้สกัดกั้นฝ่ายคู่ต่อสู้ได้
หลักแนวคิดอีกประการหนึ่งในขณะที่มีผู้เล่นตัวรุกอยู่แดนหน้า 3 คนคือ การสังเกตลักษณะการยืนคุมแนวสกัดกั้นของคู่ต่อสู้ หากการยืนคุมเพื่อสกัดกั้นของคู่ต่อสู้ใช้ลักษณะการยืนห่างกัน การใช้วิธีรุกแบบผสมผสานอาจจะได้ผลดีกว่า หรือหากการยืนคุมสกัดกั้นของคู่ต่อสู้ยืนชิดกัน การโจมตีด้วยบอลหัวเสา จะทำให้ผู้สกัดกั้นต้องเคลื่อนที่ไปสกัดกั้น

ในตอนต่อไปจะนำเสนอรูปแบบแผนการรุกที่มีผู้เล่นอยู่แดนหน้า 3 คน ทำการรุกร่วมกับผู้เล่นแดนหลัง ลักษณะนี้คือการรุกโดยผู้เล่นตัวรุก 4 คน ซึ่งเป็นแผนการเล่นขั้นสูงของวอลเลย์บอล หากท่านใดสงสัยต้องการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเชิญได้ครับ

24.11.52

รูปแบบแผนการรุก Offence ในกีฬาวอลเลย์บอล (ตอนที่ 2)

รูปแบบการรุกที่นำเสนอในตอนนี้ต่อเนื่องจากตอนที่ 1 โดยยังเป็นการรุกโดยมีผู้เล่นตัวรุกอยู่แดนหน้า 2 คน ความแตกต่างของรูปแบบการรุกในตอนนี้จะมีความซับซ้อนมากกว่าโดยจะเป็นการรุกแบบผสมผสาน (Combination) ระหว่างผู้เล่นตัวรุกทั้ง 2 คนและผู้เล่นตัวเซต โดยการรุกลักษณะนี้จะเป็นการรุกในตำแหน่งเดียวกันหรือใกล้กัน โดยในภาษาวอลเลย์บอลเราเรียกกันว่าบอลทับหรือบอลแทรก


ตัวอย่างรูแบบแผนการรุก

การรุกแบบผสมผสาน (Combination)

การรุกหน้า 2 โดยไม่มีผู้เล่นตัวรุกจากแดนหลัง

ลักษณะการตบบอลเร็ว
คำอธิบายสัญลักษณ์
A หมายถึง การตบบอลเร็วใกล้ตัวเซตด้านหน้า
Ab หมายถึง การตบบอลเร็วใกล้ตัวเซตด้านหลัง
X หมายถึง การตบบอลเร็วห่างตัวเซตด้านหน้า (ห่างตัวเซตประมาณ 3-4 เมตร)
Xb หมายถึง การตบบอลเร็วห่างตัวเซตด้านหลัง
T หมายถึง การตบบอลเร็วแบบก้าวเขย่งด้านหลัง
***หมายเหตุ ระดับความสูงของบอลเร็วประมาณ 1-2 ฟุตเหนือตาข่าย

ลักษณะการตบบอลหลัก
คำอธิบายสัญลักษณ์
B หมายถึงการตบบอลลักษณะลอยตั้งบริเวณกลางตาข่ายด้านหน้าตัวเซต
Bb หมายถึงการตบบอลลักษณะลอยตั้งบริเวณกลางตาข่ายด้านหลังตัวเซต
BR หมายถึงการตบบอลจากแดนหลัง
/X หมายถึงการตบบอลลักษณะลอยโค้งต่ำ
***หมายเหตุ ระดับความสูงของบอลเร็วประมาณ 3-4 เมตรเหนือตาข่าย


รูปแบบแผนการรุกลักษณะนี้ จุดสำคัญคือตำแหน่งการตบบอลของผู้เล่นทั้ง 2 คน จะใกล้กันหรือทับซ้อนกัน ตามภาพตัวอย่าง ผู้เล่นตำแหน่งที่ 3 จะเป็นผู้เล่นที่ตบบอลเร็ว ส่วนผู้เล่นตำแหน่งที่ 4 จะเป็นผู้เล่นที่ตบบอลหลัก B

รูปแบบแผนการเล่นลักษณะนี้เหมาะสำหรับการเล่นกับทีมที่มีตัวสกัดกั้นสูง รูปแบบนี้หากตัวเซตมีความสามารถสูงจะทำให้ผู้เล่นตัวรุกตบบอลโดยไม่มีคนสกัดกั้นได้ คือ หากตัวสกัดกั้นสกัดกั้นผู้เล่นบอลเร็ว ตัวเซตสามารถจ่ายบอลให้ผู้เล่นบอลหลักตบบอลบีโดยที่ตัวสกัดกั้นบอลเร็วไม่สามารถสกัดกั้นได้ทัน หรือหากตัวสกัดกั้นไม่สกัดกั้นบอลเร็ว ตัวเซตจ่ายบอลให้ผู้เล่นบอลเร็วตบได้

ข้อจำกัดของรูปแบบการรุกลักษณะนี้คือ การรับบอลเสริฟ หรือการส่งบอลลูกแรก จะต้องเข้าจุดที่ตัวเซต เพื่อให้ผู้เล่นบอลเร็วสามารถเข้าทำการตบหรือหลอกกระโดดตบได้สมบูรณ์

รูปแบบการรุกลักษณะนี้ทำให้ตัวสกัดกั้นไม่ต้องเคลื่อนที่เพื่อทำการสกัดกั้น หากผู้สกัดกั้นสามารถคาดการณ์ว่าตัวเซตจะจ่ายบอลลักษณะใดได้ถูก จะทำให้สกัดกั้นได้ง่าย


ข้อแนะนำ
รูปแบบการรุกตามตัวอย่างเป็นการรุกโดยผู้เล่นตัวรุกตำแหน่ง 4 ตบบอลหลัก ผู้เล่นตำแหน่ง 3 ตบบอลเร็ว ผู้ฝึกสอนแต่ละท่านอาจจะออกแบบรูปแบบการรุกหน้า 2 จากตำแหน่งการยืนใดก็ได้ขึ้นอยู่กับการวางตำแหน่งผู้เล่นของทีมท่านเอง


การรุกหน้า 2 โดยมีผู้เล่นตัวรุกจากแดนหลัง

รูปแบบการรุกลักษณะนี้เรามักจะพบบ่อยในการแข่งขันของทีมระดับสูง แม้ว่าแดนหน้าจะมีผู้เล่นตัวรุกเพียง 2 คนแต่จะมีผู้เล่นจากแดนหลังทำการรุกร่วมด้วย หลักการสำคัญของรูปแบบการรุกโดยมีผู้เล่นตัวรุกจากแดนหลังช่วยทำการรุกร่วมด้วยคือ จะมีผู้เล่นที่รุกแบบผสมผสานกันอยู่ 2 คน เช่น ผู้เล่นแดนหลังกับแดนหน้า หรือผู้เล่นแดนหน้ากับแดนหน้า

ตัวอย่างรูปแบบแผนการรุก
รูปแบบแผนการรุกภาพที่ 6 – 13 เป็นรูปแบบการรุกที่ใช้ผู้เล่นแดนหน้า 2 คนทำการรุกแบบผสมผสานและใช้ผู้เล่นตัวรุกจากแดนหลังทำการรุกจากตำแหน่งต่าง ๆ

รูปแบบแผนการรุกที่ 14 – 18 เป็นรูปแบบการรุกที่ใช้ผู้เล่นตัวรุกแดนหน้าทำการรุกผสมผสานกับผู้เล่นแดนหลัง

คำแนะนำ

รูปแบบแผนการรุกลักษณะนี้เป็นการรุกแบบผสมผสานที่ใช้กันมากในทีมระดับกลางถึงสูง เมื่อมีผู้เล่นตัวรุกอยู่แดนหน้า 2 คน การที่ผู้ฝึกสอนจะใช้รูปแบบแผนการรุกลักษณะนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะต้องมีผู้เล่นที่สามารถทำการรุกจากแดนหลังได้ดี หากผู้เล่นแดนหลังมีประสิทธิภาพจะทำให้ตัวสกัดกั้นต้องคอยระวังการรุกจากแดนหลังด้วย

23.11.52

รูปแบบแผนการรุก Offence ในกีฬาวอลเลย์บอล (ตอนที่ 1)

การรุกเป็นกระบวนการการหนึ่งที่เกิดขึ้นในการเล่นหรือแข่งขันวอลเลย์บอล การรุกที่มีประสิทธิภาพนอกจากสามารถทำคะแนนให้กับทีมแล้ว ยังสร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้กับผู้ชมด้วย กระบวนการรุกในวอลเลย์บอลอาจแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะคือ การรุกครั้งแรก (First Attack) และการรุกโต้กลับ (Counter Attack)

การรุกครั้งแรก (First Attack) หมายถึงการรุกในกระบวนการทำเปลี่ยนเสริฟ (side out) คือการรุกเมื่อคู่แข่งเป็นฝ่ายเสริฟ ลักษณะการเล่นจะมีโครงสร้างดังนี้ การรับเสริฟ --- การเซต ---- การรุก

การรุกโต้กลับ (Counter Attack) เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการรักษาเกมเสริฟ (point phase)คือการเล่นเกมรุกเมื่อสามารถป้องกันการรุกของคู่แข่งได้ เช่นรับลูกตบได้ หรือคู่แข่งไม่สามารถทำเกมรุกได้ต้องแก้ไขบอลข้ามมา ลักษณะการเล่นจะมีโครงสร้างดังนี้ การรับ --- การเซต--- การรุก

การแบ่งโครงสร้างลักษณะการรุกจะทำให้ผู้ฝึกสอนสามารถทราบว่า หากต้องการเน้นพัฒนาประสิทธิภาพการรุกครั้งแรกจะต้องพัฒนาองค์ประกอบส่วนใดและสร้างสถานการณ์การฝึกซ้อมอย่างไรเพื่อให้เกิดการพัฒนา


รูปแบบการรุก

รูปแบบการรุกหรือแผนการรุกในการเล่นวอลเลย์บอลมีมากมายหลายแบบ แผนการรุกแต่ละแบบจะขึ้นอยู่กับจำนวนผู้เล่นตัวรุก ตำแหน่งของการรุก การสร้างสรรค์ของตัวเซต การเลือกแผนการรุกใดสำหรับทีมต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายอย่าง ศักยภาพของนักกีฬาในทีม ศักยภาพของคู่แข่ง ดังนั้นการที่ผู้ฝึกสอนจะเลือกแผนการรุกใดสำหรับทีมตัวเองต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ด้วย



แผนการรุกเมื่อมีตัวรุกอยู่แดนหน้า 2 คน

การรุกลักษณะนี้จะมีผู้เล่นตัวเซตและผู้เล่นตัวรุกอีก 2 คน อยู่แดนหน้า ในภาษาวอลเลย์บอลเรามักจะเรียกกันว่าหน้าสอง (คือมีผู้เล่นตัวรุกเพียง 2 คน) ซึ่งคู่แข่งจะสกัดกั้นหรือคาดเดาแผนการเล่นได้ง่ายกว่าแบบมีผู้เล่นตัวรุกอยู่แดนหน้า 3 คน ในทีมระดับกลางและระดับสูงเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์นี้ มักจะใช้ผู้เล่นแดนหลังทำการรุกร่วมอยู่ในแผนการรุกด้วยเสมอ




ตัวอย่างแผนการรุก

การรุกหน้า 2 โดยไม่มีผู้เล่นตัวรุกแดนหลัง

การรุกแบบแยกตำแหน่ง
แผนการรุกลักษณะนี้ (ภาพที่ 1-2) เป็นแผนการรุกที่ผู้เล่นแต่ละตำแหน่งในแดนหน้าจะทำการรุกจากตำแหน่งต่างๆ โดยจะไม่ซ้ำซ้อนกันเช่น
ภาพที่ 1 ผู้เล่นตำแหน่ง 4 ทำการรุกด้วยลูกหัวเสา Outside ส่วนผู้เล่นตำแหน่ง 3 ทำการรุกด้วยการเล่นบอลเร็ว Quick spike ลักษณะต่าง ๆ

ภาพที่ 1

ภาพที่ 2 ผู้เล่นตำแหน่ง 4 ทำการรุกด้วยบอลเร็วใกล้ตัวเซต A หรือไกลตัวเซต X ส่วนผู้เล่นตำแหน่ง 3 ทำการรุกด้วยลูกหัวเสาด้านหน้าหรือด้านหลังตัวเซต

ภาพที่ 2

รูปแบบการรุกลักษณะนี้อาจจะทำให้ผู้เล่นตัวรุกแต่ละตำแหน่ง จะถูกสกัดกั้นโดยคู่ต่อสู้อย่างน้อย 1 คน แต่จะทำให้ผู้เล่นตำแหน่งกลางหน้าของคู่ต่อสู้ต้องเคลื่อนที่ไปช่วยสกัดกั้นลำบาก แผนการรุกนี้หากจะมีประสิทธิภาพสูงสุดผู้เล่นตัวเซตจะต้องมองว่าผู้สกัดกั้นตัวกลางของคู่ต่อสู้ยืนอยู่ในตำแหน่งใด แล้วเซตบอลไปให้ตัวรุกที่มีผู้สกัดกั้นเพียงคนเดียว

การรุกหน้า 2 ร่วมกับผู้เล่นตัวรุกจากแดนหลัง

การรุกแบบแยกตำแหน่ง

แผนการรุกลักษณะนี้ (ภาพที่ 3-5) เป็นแผนการรุกที่ผู้เล่นแต่ละตำแหน่งในแดนหน้าจะทำการรุกจากตำแหน่งต่างๆ โดยจะไม่ซ้ำซ้อนกันและจะมีผู้เล่นอีก 1 คนทำการรุกจากแดนหลังเช่น

ภาพที่ 3 ผู้เล่นตำแหน่ง 4 ทำการรุกด้วยลูกหัวเสา C ส่วนผู้เล่นตำแหน่ง 3 ทำการรุกด้วยการเล่นบอลเร็ว A หรือ X และผู้เล่นตำแหน่ง 1 ทำการรุกจากแดนหลังร่วมด้วย

ภาพที่ 3

ภาพที่ 4 ผู้เล่นตำแหน่ง 4 ทำการรุกด้วยบอลเร็วใกล้ตัวเซต A หรือไกลตัวเซต X ส่วนผู้เล่นตำแหน่ง 3 ทำการรุกด้วยลูกหัวเสาด้านหลังตัวเซต และผู้เล่นตำแหน่ง 5 ทำการรุกจากแดนหลัง ภาพที่ 4

ภาพที่ 5 ผู้เล่นตำแหน่ง 4 ทำการรุกด้วยลูกหัวเสา C ส่วนผู้เล่นตำแหน่ง 3 ทำการรุกด้วยการเล่นบอลเร็วไหลหลัง และผู้เล่นตำแหน่ง 6 ทำการรุกจากแดนหลังภาพที่ 5


รูปแบบการรุกลักษณะนี้อาจจะพบมากในทีมระดับสูง ซึ่งสร้างความกังวลให้กับผู้สกัดกั้นเพราะมีผู้เล่นตัวรุกถึง 3 คนทำการรุกจากตำแหน่งที่แตกต่างกัน

ในตอนต่อไปผมจะนำเสนอรูปแบบแผนการรุกที่มีผู้เล่นตัวรุกอยู่แดนหน้า 2 คน และทำการรุกแบบซ้ำซ้อนตำแหน่ง Combination หรือที่ภาษาวอลเลย์บอลเรียกกันว่าการเล่นบอลทับ หรือบอลแทรก

11.8.52

หลักการพื้นฐานของวอลเลย์บอล


เรื่องหลักการพื้นฐานของวอลเลย์บอลนี้ เป็นเหมือนหลักการ แนวความคิดในการเล่นวอลเลย์บอล ซึ่งอธิบายว่าในเกมส์วอลเลย์บอลมีอะไรเกิดขึ้น อย่างไร ผู้ฝึกสอนที่สามารถวิเคราะห์ได้ จะทำให้เรามีแนวทางในการสร้างทีม ฝึกซ้อมได้

ในเกมส์การแข่งขันวอลเลย์บอล ผลการแข่งขันจะแพ้หรือชนะนั้นขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น สภาพทีม จังหวะและโอกาส รวมทั้งโชคก็มีส่วนอยู่บ้างเหมือนกัน

แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ เทคนิคส่วนบุคคลและกลยุทธ์ต่าง ๆ มีส่วนเป็นอย่างมากที่จะทำให้เราประสบผลสำเร็จในการแข่งขัน

ในการแข่งขันวอลเลย์บอลเกมส์หนึ่ง เวลาที่ใช้ในการเล่นลูกบอลสัมผัสบอลจริง ๆ จะประมาณ 25 นาทีเท่านั้น แต่ละทีมจะถูกบอลเฉลี่ย 150 ครั้งต่อทีม และแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 0.1 วินาที ดังนั้นเวลาที่ผู้เล่นสัมผัสบอลจริง ๆ จะอยู่ที่ประมาณ 30 วินาที ( 150 ครั้ง x 0.10 x 2 ทีม ) หมายความว่าแต่ละทีมจะสัมผัสบอลประมาณทีมละ 15 วินาทีเท่านั้น ทีมที่ชนะจะใช้เวลา 15 วินาที ในการสัมผัสบอลอย่างมีประสิทธิภาพ

คำถามก็คือ ทีมของเราจะทำอย่างไรให้ดีที่สุดใน 15 วินาทีนั้น และอีก 24 นาท 15 วินาที ีที่เหลือจะทำอะไร ?
คำตอบคือ เวลาที่เหลือที่เราไม่ได้สัมผัสบอลควรทำ 2 สิ่งดังนี้คือ
1.สื่อสารกับเพื่อนร่วมทีมเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในสนาม ( Communication )
2.เตรียมร่างกายให้อยู่ในลักษณะที่พร้อมมากที่สุด ในการสัมผัสบอลแต่ละครั้ง (Foot Work)ทั้งหมดคือ กุญแจสู่ความสำเร็จในการเล่นวอลเลย์บอล ผู้เล่นควรศึกษาพฤติกรรม ทั้งการสื่อสารในทีม และการเคลื่อนที่ของผู้เล่น หากเราสามารถทำได้อย่างนี้ เราจะเป็นผู้เล่นที่มีประสิทธิภาพ และทีมจะประสบชัยชนะได้

การสื่อสารภายในทีม On-Court Communication
ผู้เล่นทุกคนจะต้องมีการสื่อสารกันภายในทีมอย่างมีประสิทธิภาพ และสม่ำเสมอ เพื่อประสิทธิภาพในการเล่น ในการฝึกซ้อมสามารถทำได้ง่าย ๆ โดยในการเล่นผู้เล่นต้องออกเสียงว่าเกิดอะไรขึ้นจนกว่าจะจบการเล่นนั้น ๆ เช่น กระโดดเสริฟ , ปล่อย , บล๊อคด้วย , บล๊อคฉีก , หยอด , เซ็ตหัวเสา และอื่น ๆ เป็นต้น

ในสถานการณ์ที่ทีมเราอยู่ในตำแหน่งการรุกนั้น แตกต่างจากการเป็ฯฝ่ายรับ เราควรพูดบอกกันในเรื่องการเคลื่อนที่ ๆ เป็นประโยชน์ เช่น ตัวบล๊อคอยู่หน้าตาข่าย หรือ ระวังตบหัวเสา การที่มีการพูดตลอดเวลาในการเล่นนั้น แม้มันจะดูวุ่นวาย ( สังเกตุจากการเล่นของทีมญี่ปุ่น ) แต่ก็สามารถ็ช่วยให้ทีมมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
การฝึกซ้อมปรับปรุงการสื่อสารของทีม จะช่วยทีมได้ดังนี้คือ
1. ช่วยลดความผิดพลาดในการเล่นที่เป็นผลจากการสื่อสารในทีม เช่น จะรู้ว่าใครจะเล่นบอลนั้น
2. สามารถช่วยเราพัฒนาทักษะการเล่นได้ เราจะมีส่วนร่วมอยู่กับเกมส์ตลอดเวลา

การเคลื่อนที่ Footwork
ปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งที่ช่วยเรามากที่สุดในการเล่นบอลคือ การเคลื่อนที่ ในการเล่นวอลเลย์บอลทุกคนจะต้องมีการเคลื่อนที่ตลอดเวลา เช่น ตัวเซ็ตเเคลื่อนที่ไปเซ็ต ตัวตบเข้าทำการตบ ผู้เล่นอื่น ๆ เคลื่อนที่เข้าไปรองบอล การเคลื่อนที่ ๆ สำคัญ คือ

การก้าวเท้า , การกลับตัว Step , Hop
การเล่นวอลเลย์บอลจะต้องมีการเคลื่อนที่ตลอดเวลา ทักษะการเคลื่อนที่ที่ดี จะทำให้ผู้เล่นสามารถเคลื่อนที่ไปยังจุดที่ต้องการ เกิดความสมดุล ผู้เล่นต้องฝึกฝนให้การเคลื่อนที่ของตัวเองถูกต้องที่สุดดด้วยทักษะขั้นสูง เพราะเมื่อเราเคลื่อนที่ไปยังจุดที่ต้องการแล้วในเวลาที่สมดุลแล้วจะทำให้การเล่นลูกนั้นง่ายขึ้น
รูปแบบจังหวะการก้าวเท้า เป็นคุณสมบัติที่ดีของนักวอลเลย์บอล เพราะทำให้ผู้เล่นสามารถเคลื่อนที่ได้ครอบคลุมทั้งสนาม สามารถเคลื่อนที่เข้าเล่นลูกได้อย่างสมดุล นักกีฬาวอลเลย์บอลที่ดีจะต้องพร้อมที่จะเล่นบอลให้ดีที่สุด

ทำคะแนนได้ เล่นยังไงก็ชนะ



ปรัชญาการแข่งขันวอลเลย์บอล หนึ่ง เปลี่ยนเสริฟให้ได้ สอง ทำคะแนนให้ได้ หากสามารถทำได้สมบูรณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง แข่งขันยังไงก็ไม่แพ้ แต่ก็อย่างที่กล่าวไว้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เกิดความผิดพลาด แต่ทีมใดที่สามารถควบคุมความผิดพลาดให้เกิดน้อยกว่าทีมนั้นย่อมเป็นผู้ชนะ

ในเอนทรี่ที่แล้วผมแยกขั้นตอนของกระบวนการทำเปลี่ยนเสริฟ (Side out Phase) ให้เห็นแล้ว ในตอนนี้จะต่อกันในปรัชญาที่ 2 เรื่อง การทำคะแนน (point phase)

การทำคะแนน (point phase)

ในกระบวนการทำคะแนน เมื่อเราแยกออกเป็นขั้นตอนต่าง ๆ เราจะเห็นว่ามีความแตกต่างกับกระบวนการเปลี่ยนเสริฟอยู่บ้าง สามารถแยกเป็นขั้นตอนได้ดังนี้

การเสริฟ Service
การสกัดกั้น Block
การตั้งรับ Defense
การเตรียมการโจมตีกลับ
การโจมตีกลับ Attack
การรองบอล Cover
การโจมตีกลับจนกว่าจะสำเร็จ

1. การเสริฟ
เป็นขั้นตอนแรกในกระบวนการทำคะแนน การเสริฟเป็นหนึ่งในทักษะการทำคะแนน (Scoring skill) คือ เป็นทักษะที่ใช้ทำคะแนน ซึ่งมีความสำคัญมาก หากทีมใดมีการเสริฟดี แม้ว่าอาจจะไม่ได้คะแนนทันที แต่การเสริฟที่ดีสามารถทำลายรูปแบบการรุกของคู่ต่อสู้ ทำให้เราสกัดกั้นได้ง่ายขึ้น

2. การสกัดกั้น
เป็นอีกทักษะในการทำคะแนนเช่นกัน ถ้าเรามีการสกัดกั้นที่ดี ก็จะทำให้ทีมได้คะแนน ในกระบวนการทำคะแนน หากการเสริฟไม่สามารถทำคะแนนได้ ทีมต้องพยายามสกัดกั้นการรุกของคู่ต่อสู้ให้ได้

3. การตั้งรับ
หากการเสริฟ และการสกัดกั้นของทีมไม่สามารถทำคะแนนได้ โอกาสที่ทีมจะเสียคะแนนจะมีมากขึ้นทันที สิ่งที่จะช่วยให้ทีมไม่เสียคะแนนก็คือการตั้งรับ การตั้งรับที่ดีจะทำให้เราเปลี่ยนจากฝ่ายรับ กลับไปเป็นฝ่ายรุกทำคะแนนได้
4. การเตรียมโจมตีกลับ และการโจมตีกลับ
เมื่อการตั้งรับประสบความสำเร็จ การพยายามโจมตีกลับคือ การพยายามเซ้ต หรือส่งบอลให้ผู้เล่นตัวรุกทำการรุกโต้กลับนั่นเอง

5. การรองบอล
ในขณะที่โจมตีกลับ เราต้องระวังบอลที่รุกไปแล้วถูกคู่ต่อสู้สกัดกั้นได้ เราต้องระวังรองบอลที่ติดบล๊อคกลับมาเพื่อทำการโจมตีกลับ

6. การเตรียมโจมตีกลับจนกว่าจะสำเร็จ
เมื่อทีมรองบอลได้ ทีมก็จะมีโอกาสทำการรุกกลับ จนกว่าจะประสบความสำเร็จ

ขั้นตอนทั้ง 6 ที่กล่าวมาในกระบวนการทำคะแนน จะเกิดต่อเนื่องกันไปตามลำดับ กระบวนการทำคะแนนอาจจะจบแค่การเสริฟ หรือการสกัดกั้น เพียงเท่านั้นก็ได้ หรืออาจจะเกิดทั้ง 6 ขั้นตอนที่กล่าวมา แต่ประเด็นสำคัญคือเราต้องทำคะแนนให้ได้

นี่คือสิ่งที่ผู้ฝึกสอนควรจะนำไปวิเคราะห์ เพื่อการออกแบบวางแผนการฝึกซ้อมพัฒนาทักษะ เมื่อเราแยกกระบวนการทำคะแนนออกเป็นขั้นตอน จะเห็นว่าขั้นตอนที่ 2 เป็นต้นไปก็คือ การเล่นโต้กลับ (Counter Attack) นั่นเอง

หากจะสรุปว่าการทำคะแนน (Point Phase) สิ่งที่สำคัญคือ การเสริฟ และการเล่นโต้กลับ counter attack ส่วนการทำเปลี่ยนเสริฟ สิ่งที่สำคัญคือ การโจมตีครั้งแรก first attack นั่นเอง

9.7.52

เทคนิคการเล่นที่สำคัญของตัวเซ็ต setter...

ในการเล่นวอลเลย์บอลตำแหน่งผู้เล่นที่มีความสำคัญที่สุดในทีมคือ ผู้เล่นตำแหน่งตัวเซ็ต (setter) นอกจากจะเป็นตำแหน่งที่จะต้องเซ็ตบอลให้เพื่อนร่วมทีมตบแล้ว ตัวเซ็ตยังเป็นผู้เล่นที่ได้สัมผัสบอลมากที่สุดในทีม เพราะการเล่นวอลเลย์บอลในจังหวะที่ 2 ของการเล่นเราจะต้องพยายามให้ตัวเซ็ตเป็นผู้เล่นเพื่อเซ็ตจ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีมตบ เป็นผู้เล่นที่มีความสำคัญสำหรับทีมเหมือนหัวใจของทีม ทีมใดที่มีตัวเซ็ตที่ดี ทีมนั้นจะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก ตัวเซ็ตที่ดีต้องรู้จักแก้ไข สถานการณ์ในยามคับขัน เป็นศูนย์รวมของทีม



การเซ็ตจากพื้น ( Ground up )

เป็นเทคนิคการเล่นพื้นฐานของตัวเซ็ต หรือหากจะพูดง่าย ๆ ก็คือการยืนเซ็ตนั่นเอง สิ่งที่สำคัญในการเซ็ตบอลจากพื้นคือ " เท้าต้องเร็ว " หมายถึงการเคลื่อนที่ของเท้าในการเข้าหาลูกบอลต้องเร็ว เคลื่อนที่ไปถึงบอลก่อนทำการเซ็ต การวางเท้าทั้งสองข้างจะเสมอกับไหล่ เข่างอเล็กน้อย ทิ้งน้ำหนักตัวไปที่เท้าทั้งสองข้างเท่า ๆ กัน เท้าที่อยู่ใกล้ตาข่ายจะใช้เป็นเท้านำ การทิ้งน้ำหนักตัวไปด้านหน้าหรือหลังจะทำให้การเคลื่อนที่เปลี่ยนทิศทางลำบากการเตรียมพร้อมการเซ็ต มือทั้งสองข้างอยู่เหนือศีรษะบริเวณหน้าผาก ข้อศอกทำมุมประมาณ 45 - 90 องศา การเซ็ตจะต้องใช้ทุกนิ้วในการสัมผัสบอล สัมผัสพื้นที่ของบอลให้มากที่สุด นิ้วนางและนิ้วก้อย จะทำหน้าที่ประคองบอล เมื่อทำการเซ็ตบอลบอลจะต้องอยู่เหนือศีรษะ ใช้ข้อมือ นิ้วดีดบอลออกไปแล้วส่งแขนตามบอลเพื่อช่วยในการควบคุมทิศทาง

บางครั้งตัวเซ็ตจะประสบกับปัญหาบอลที่มาถึงตัวต่ำและเร็ว แทนที่จะรอให้บอลกระทบกับตาข่าย ตัวเซ็ตควรจะรีบเคลื่อนที่เข้าไปเล่นบอลนั้น โดยการเคลื่อนที่ไปใต้บอลย่อตัวให้ต่ำและทำการเซ็ต ( ดูภาพประกอบ ) ถ้าสามารถทำได้จะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาการเซ็ตบอลที่มาต่ำ
เทคนิคการเล่น ต้องคาดคะเนวิถีของบอลอย่างรวดเร็ว เคลื่อนที่ไปยังจุดที่คาดว่าบอลจะตก ย่อตัวลงให้ต่ำกว่าบอลเพื่อที่จะเซ็ตบอลไปยังเป้าหมาย


การกระโดดเซ็ต Jump set

การกระโดดเซ็ตเป็นอาวุธที่สำคัญของตัวเซ็ตชั้นนำ สามารถสร้างความได้เปรียบในเกมรุกมาก เช่น- ความเร็วในเกมรุก การกระโดดเซ็ตตัวเซ็ตจะต้งเข้าถึงบอลเร็วเพื่อเซ็ตบอลทำให้ความเร็วในการรุกเพิ่มขึ้นด้วย- ประสิทธิภาพของการรุกด้วยบอลเร็ว (Quick spike) จะมากขึ้นเพราะเมื่อตัวตบบอลเร็วของเรากระโดด ความสูงของตัวเซ็ตเมื่อกระโดดเซ็ตจะใกล้เคียงกับตัวตบ ลักษณะบอลที่ตัวเซ็ต ๆ ออกมาจะขนานตาข่าย ทำให้ตัวตบบอลเร็วสามารถเล่นได้ง่ายกว่าบอลที่เซ็ตมาจากมุมต่ำ- สามารถหลอกตัวสกัดกั้น (Blocker) เมื่อตัวเซ็ตอยู่แดนหน้า (Front Low) ตัวเซ็ตอาจใช้ลูกทิปให้ตัวสกัดกั้นกังวล เมื่อตัวสกัดกั้นเห็นตัวเซ็ตกระโดดก็มักจะกระโดดตามทำให้เกิดช่องว่างในการสกัดกั้นขึ้น ตัวตบของเราจะสามารถตบบอลลงในแดนตรงข้ามได้ง่ายขึ้น
เทคนิคการกระโดดเซ็ตที่สำคัญคือ เคลื่อนที่เข้าหาบอลให้เร็วแล้วกระโดดเซ็ต โดยเซ็ตบอลขณะที่กระโดดถึงจุดสูงสุด ส่วนลักษณะการเซ็ตอื่นก็จะเหมือนกับการเซ็ตจากพื้น (Ground Up)
ผู้เล่นที่จะเป็นตัวเซ็ตที่ดี จะต้องฝึกซ้อมการกระโดดเซ็ตอยู่เสมอ ตัวเซ็ตชั้นนำมักจะกระโดดเซ็ตทุกครั้งที่เล่นบอล


การทิปบอล The tip

เป็นเทคนิคเฉพาะที่สำคัญอย่างหนึ่งของตัวเซ็ต สามารถใช้แก้ไขสถานการณ์ยามคับขัน ตัวเซ็ตชั้นนำมักใช้การเล่นลูกทิป เพื่อทำให้คู่ต่อสู้กังวล เทคนิคนี้จะใช้เมื่อบอลลอบอยู่เหนือตาข่าย เช่น บอลที่ผู้รับลูกเสริฟมาสูงและเร็วจนตัวเซ็ตไม่สามารถเซ็ตได้สถานการณ์ที่การใช้ลูกทิปได้ผลมากที่สุด คือ เมื่อบอลรับลูกเสริฟเข้าเป้าหมายเหนือตาข่าย เพราะคู่ต่อสู้มักคาดไม่ถึงว่าเราจะใช้การทิป เทคนิคในการเล่นลูกทิป (Tip) คือใช้กระโดดเหยียดแขนให้สุดใช้ปลายนิ้วสัมผัสบอลพร้อมกับพลิกข้อมืออย่างเร็วหรือถ้าเราจะใช้การทิปเพื่อโจมตีคู่ต่อสู้ให้กระโดดอยู่ในท่าของการเซ็ตเมื่อเห็นบริเวณที่ว่างในแดนคู่ต่อสู้และไม่มีตัวสกัดกั้น ให้ทิปบอลลงไปในบริเวณที่ว่างนั้น บริเวณที่ส่วนใหญ่ตัวเซ็ตจะทิปบอลไปคือบริเวณที่ว่างกลางสนาม เพราะเป็นบริวณที่ผู้เล่นในตำแหน่ง หลังขวา (Back Right) และหลังซ้าย (Back Left) มักจะเกี่ยงกันเล่นทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้ เทคนิคชั้นสูงของตัวเซ็ตชั้นนำคือจะหลอกตัวรับฝั่งตรงข้ามว่าจะทิปบริเวณแดนหน้า เมื่อตัวรับเคลื่อนตัวเข้ามารับก็จะเปลี่ยนทิศทางโดยทิปข้ามศีรษะตัวรับ ไปบริเวณเส้นท้าย


การแก้ไขบอลที่พุ่งเข้าสู่ตาข่าย Save the net
ในเกมส์การแข่งขันปัญหาหนึ่งที่ตัวเซ็ตมักเจอคือบอลที่พุ่งเข้ากระทบตาข่าย ผู้เล่นที่ดีจะต้องพยายามแก้ไขสถานการณ์การเล่นให้ได้ เพื่อไม่ให้เสียคะแนน เมื่อบอลกระทบตาข่าย สิ่งที่ผู้เล่นต้องทำคือ
อันดับแรก ท่าทางการยืนเตรียมรับบอลตัวจะต้องให้ต่ำ ย่อเข่าและสะโพกให้มากที่สุด เพื่อรอรับบอลที่จะกระดอนออกมาจากตาข่าย จากนั้นให้มองว่าลูกบอลจะกระทบตาข่ายบริเวณใด
บอลที่กระทบตาข่ายในบริเวณด้านบน โอกาสที่ลูกบอลจะม้วนลงบริเวณหน้าตาข่ายจะมีสูง ดังนั้นจะต้องเคลื่อนที่เข้าไปให้ใกล้ตาข่ายเพื่อเข้าถึงและเล่นบอลบอลที่กระทบตาข่ายบริเวณด้านล่าง โอกาสที่ลูกบอลจะกระดอนออกมาจะมีสูง ดังนั้นผู้เล่นจะต้องคาดคะเนและพร้อมที่จะเข้าให้ถึงลูกบอล
ความผิดพลาดที่ใหญ่หลวงในการเล่นบอลลักษณะนี้คือ ลักษณะการยืนเตรียมพร้อมของร่างกายโดยที่ไม่ย่อเข่าและตัวให้ต่ำ และไม่ได้มองลูกบอลว่ากระทบตาข่ายบริเวณใด

7.7.52

Diving

แบบฝึกการเก็บบอล


Diving



Clip Spiking

แบบฝึกทักษะการกระโดดตบ หน้าเนต

Spiking - Basic



Spiking - Dummy spike




Volleyball Spike fast D




Spike - fast intro



Spike Fast A

Clip Set ball traning

คลิปแบบฝึก, วิธีการเซทบอลในแต่ละแบบ ลองฝึกดูและนำไปใช้นะครับ


Setting - Basic


Setting - Jump set

Setting - backward

Setting - Sidewayt





Setting Drills for Topp Volleyball Norge

23.6.52

ลักษณะเฉพาะในการฝึกซ้อมวอลเลย์บอลหญิง


ในการฝึกซ้อมวอลเลย์บอลปัญหาที่ผู้ฝึกสอนที่เพิ่งเริ่มคุมทีมมักจะพบบ่อยมักจะเป็นเรื่อง วันนี้จะซ้อมอะไรดี ใช้แบบฝึกแบบไหน ทีมอื่นเขาฝึกกันอย่างไร หลายท่านเป็นผู้ฝึกสอนควบทั้งทีมหญิงและทีมชาย ใช้แบบฝึกเดียวกัน ฝึกซ้อมร่วมกัน ซึ่งผมขอแนะนำว่าเป็นวิธีการที่ไม่เหมาะสม เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่แตกต่างกันค่อนข้างมากสำหรับนักกีฬาชายและนักกีฬาหญิง

หน้าที่ของผู้ฝึกสอนคือการพยายามทำทุกอย่างเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของผู้เล่นให้ดีที่สุด เพื่อให้ได้รับชัยชนะจากการแข่งขัน ผู้ฝึกสอนจะต้องวิเคราะห์รายละเอียดต่าง ๆ ปัจจัยต่าง ๆ ในกีฬาวอลเลย์บอล ลักษณะเฉพาะของวอลเลย์บอล ผู้ฝึกสอนต้องทราบและทำความเข้าใจว่า ความแตกต่างระหว่างทีมหญิงและชายมีหลายอย่าง เช่น ลักษณะทางกายภาพ ลักษณะทางจิตวิทยา รูปแบบการเล่น ดังนั้นเมื่อมีความแตกต่างกันการฝึกซ้อม กระบวนการต่าง ๆ ย่อมแตกต่างกันด้วย ไม่สามารถนำรูปแบบการซ้อมของทีมชายไปใช้กับทีมหญิงหรือทีมหญิงไปใช้กับทีมชายได้ทั้งหมด จะต้องวิเคราะห์รายละเอียดต่าง ๆ เพื่อจัดกระบวนการฝึกซ้อมให้เหมาะสมกับประเภทของผู้เล่น


หยวน ไว มิน อดีตผู้ฝึกสอนวอลเลย์บอลทีมหญิงของทีมชาติจีนที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง ได้อธิบายลักษณะเฉพาะในการฝึกซ้อมวอลเลย์บอลประเภททีมหญิง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกสอนจะต้องสนใจดังนี้

1. การแสดงบทบาทผู้นำของผู้ฝึกสอน
แน่นอนว่าผู้ฝึกมีหน้าที่ต้องเป็นผู้นำทีม การแสดงบทบาทผู้นำของผู้ฝึกสอนทีมชายและทีมหญิงมีความแตกต่างกัน ด้วยลักษณะทางจิตวิทยาที่มีความแตกต่างระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง นักกีฬาหญิงนั้นมักไม่ค่อยแสดงความคิดริเริ่ม ไม่ค่อยแสดงความเห็นเกี่ยวข้องกับการฝึกซ้อมเท่านักกีฬาชาย ซึ่งเป็นสาเหตุให้ผู้ฝึกสอนทีมหญิงต้องใช้ความพยายามอธิบาย ชี้นำในการฝึกซ้อมมากกว่าผู้ฝึกสอนทีมชาย
ปัญหาหนึ่งที่มักพบในทีมหญิงคือโดยลักษณะเฉพาะของเพศหญิงจะมีความอ่อนไหวเรื่องความรู้สึก เรามักพบว่ามักมีการแบ่งเป็นกลุ่มเป็นพวกภายในทีม มักจะสนิทสนมกันในกลุ่มเล็ก ๆ บางครั้งเป็นจุดที่ทำให้ทีมเกิดปัญหา หน้าที่ของผู้ฝึกสอนจะต้องคอยดูแลสอดส่อง พึงระลึกว่าวอลเลย์บอลทีมหนึ่งมี 12 คน จะต้องพยายามหลอมรวมให้เปรียบเสมือนเป็นคน ๆ เดียวให้ได้มากที่สุด ความสามัคคีเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ได้รับชัยชนะ
ดังนั้นผู้ฝึกสอนจึงมิใช่เพียงแต่สอนในเรื่องของเทคนิคเท่านั้น แต่จะต้องสั่งสอนให้นักกีฬาทั้งหมดมีความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันดียวกันให้ได้ด้วย


2. เริ่มฝึกซ้อมด้วยทักษะการป้องกัน
เกมวอลเลย์บอล การรุกทุกครั้งจะเริ่มต้นจากการตั้งรับทั้งสิ้น หากวิเคราะห์จากสถิติในเกมวอลเลย์บอลพบว่าการรุกแทบทั้งหมดมาจากการป้องกัน Defense จากสถิตินั้นระดับความเร็วของลูกตบในการแข่งขันประเภททีมชายมีต่าเฉลี่ยประมาณ 33 เมตรต่อวินาที หรือ 119 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะที่ทีมหญิงความเร็วจะประมาณ 18 เมตรต่อวินาที หรือ 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ดังนั้นโอกาสที่จะรับลูกตบในประเภททีมหญิงจะมีมากกว่า
ลูกเสริฟในทีมหญิงจะมีประสิทธิภาพค่อนข้างสูง มีสถิติที่น่าสนใจคือ ค่าเฉลี่ยเปรียบเทียบความสูงของผู้เล่นเมื่อชูมือเหนือตาข่ายพบว่า นักกีฬาหญิงจะชูมือได้สูงกว่า (ความสูงตาข่ายทีมชาย 2.43 เมตร 2.28 เมตร) ด้วยเหตุนี้ทำให้การเสริฟของทีมหญิงจะมีประสิทธิภาพมาก จึงควรให้เวลากับการฝึกซ้อมทักษะการรับลูกเสริฟและทักษะที่เกี่ยวข้องให้มาก ทักษะการรับลูกเสริฟนั้นสร้างรูปแบบการเล่น การรับลูกเสริฟไม่ดี จะทำให้สร้างสรรค์เกมรุกยากหรืออาจทำให้เสียคะแนนได้ทันที


การเสริฟเกิดจากผู้เล่นเพียงคนเดียว โดยไม่มีคู่ต่อสู้ขัดขวาง การเสริฟที่ดีสามารถทำคะแนนได้ทันที ด้วนค่าเฉลี่ยความสูงที่นักกีฬาหญิงสามารถชูมือได้สูงใกล้เคียงขอบบนของตาข่ายสำหรับนักกีฬาไทย หรือสูงกว่าขอบบนตาข่ายหากเป็นนักกีฬาที่มีความสูง ถ้านักกีฬาสามารถเรียนรู้เทคนิคว่าจะมีวิธีการเสริฟอย่างไร การเสริฟจะมีประสิทธิภาพมาก ในปัจจุบันนักกีฬาหญิงมักนิยมการเสริฟลักษณะ jump float ซึ่งการเสริฟแบบนี้ทำให้ลูกบอลจะพุ่งข้าหาผู้รับในระดับอกซึ่งยากต่อการรับ

การสกัดกั้น เป็นกระบวนการแรกของการป้องกัน แต่โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการสกัดกั้นในการแข่งขันประเภททีมหญิงมีเพียง 20% เท่านั้น การสกัดกั้นที่ถือว่ามีประสิทธิภาพมี 3 ลักษณะคือ

1. Killing Block คือการสกัดกั้นที่สามารถหยุดการรุกของคู่ต่อสู้ทันทีและสามารถได้คะแนนจากการสกัดกั้น
2. Received Block คือการสกัดกั้นที่สามารถปิดบังส้นทางการรุกของคู่แข่ง ทำให้ผู้เล่นในทีมสามารถรับลูกตบจากการรุกได้
3. Saved Block คือการสกัดกั้นที่สามารถทำให้เพื่อนร่วมทีมนำบอลนั้นกลับมาเล่นได้ต่อ
ในการแข่งขันประเภททีมหญิง การสกัดกั้นลักษณะ saved block จะเกิดขึ้นมากที่สุดประมาณ 30% เมื่อใดที่ค่าเฉลี่ยการสกัดของทีมต่ำเราจะพบว่าผู้เล่นแดนหลังจะถูกโจมตีด้วยลูกตบอย่างหนักหน่วงซึ่งยากต่อการรับ นักกีฬาหญิงที่มีศักยภาพความสามารถสูงในการรับลูกตบโดยที่ไม่มีการสกัดกั้นอาจจะประสบความสำเร็จในการรับได้ถึง 60% ดังนั้นความสำคัญของการฝึกป้องกัน defense จึงเป็นรื่องที่ไม่ควรละเลยเป็นอันขาดในการฝึกซ้อมวอลเลย์บอลทีมหญิง

ด้วยกระบวนการป้องกันของทีมหญิงสามารถทำได้ง่ายกว่ากว่าทีมชายทำให้เกมวอลเลย์บอลหญิงจะมีความต่อเนื่องโอกาสที่เกิดการรุกโต้กลับ counter-attack จะมีมากกว่าทีมชาย

การรุกโจมตีโต้กลับ counter-attack มีพื้นฐานมากจากการสกัดกั้น block การรับลูกตบ dig การรองบอล cover การเซต set และการตบ spike ทุกส่วนมีความสำคัญทั้งสิ้น การผิดพลาดส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่น รองบอลไม่ดี เซตไม่ได้ อาจจะทำให้กระบวนการทั้งหมดผิดพลาด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมักจะพบว่านักกีฬาไม่ค่อยใส่ใจให้ความสำคัญกับรายละเอียดในทักษะเหล่านี้ เพราะมักคิดว่ามันง่ายกว่าการสกัดกั้นหรือรับลูกตบ มักพบบ่อย ๆ ว่าเมื่อสามารถรับลูกตบได้แล้วแต่ไม่สามารถรุกโต้กลับได้เพราะผิดพลาดในทักษะที่เห็นว่าเล็กน้อยเช่น การเซ็ตบอลไม่ดี ทำให้เสียโอกาสและอาจเสียคะแนนได้ ดังนั้นทักษะเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั้งหมดนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเล่นที่ต่อเนื่องของวอลเลย์บอลหญิง

วอลเลย์บอลเป็นกมที่อนุญาตให้ผู้เล่นสัมผัสบอลได้ในเวลาพียงเสี้ยววินาที แต่เวลาส่วนใหญ่ใช้ไปกับการเคลื่อนที่โดยที่ไม่มีลูกบอล จากสถิติที่มีการวิเคราะห์กันออกมาการเคลื่อนที่ที่เล่นบอลจะเกิดเพียง 20.75% โดยผู้เล่นตัวตบหลัก 21.72% ตัวเซต 25.55% ในขณะที่การเคลื่อนที่โดยไม่ได้เล่นบอลจะประมาณ 75-80%


ดังนั้นในการฝึกซ้อมผู้ฝึกสอนต้องสนใจฝึกซ้อมเรื่องการเคลื่อนที่โดยไม่มีลูกบอลและทักษะที่ต่อเนื่องในกระบวนการโต้กลับ


3. การเซต
การเซตคือกุญแจสำคัญ เป็นทักษะเชื่อมต่อในการเปลี่ยนสถานะจากการตั้งรับเป็นการรุกโต้กลับ counter-attack ผู้เล่นตัวเซตควรจะรุ้ว่าจะมีแนวทางการเล่นอย่างไร จังหวะในการเซต การหาจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้ามและพยายามมุ่งโจมตีบริเวณนั้น การเล่นวอลเลย์บอลสมัยใหม่นั้นผู้เล่นทุกคนควรจะมีทักษะการเซตที่ดี เพราะการรุกโต้กลับอาจจะไม่ใช่ผู้เล่นตัวเซตเป็นคนเซตบอล หากการเซตบอลมีประสิทธิภาพดี การรุกโต้กลับก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยเช่นกัน

ในกระบวนการรุกโต้กลับ ผู้เล่นตัวเซตจะมีบทบาทมาก การเคลื่อนที่ของตัวเซตจะมากที่สุดในทีมประมาณ 90 % และอัตราการเคลื่อนที่ไปเซตบอลจะสูงถึง 64.7 % การฝึกซ้อมการเคลื่อนที่ของตัวเซตจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างหนึ่ง
ผู้เล่นตัวเซตจะมีบทบาทมากที่สุดในกระบวนการเปลี่ยนเสริฟ side out การช่วงชิงความได้เปรียบระหว่างฝ่ายเสริฟกับฝ่ายรับเสริฟในวอลเลย์บอลหญิงจะมีความเข้มข้นกว่าทีมชาย การเซตครั้งแรกจะเป็นการกำหนดเทคนิคการเล่นโดยตัวเซต ลักษณะการฝึกซ้อมที่จำเป็นอีกแบบหนึ่งคือ รูปแบบการฝึก Serve – pass – Set หลาย ๆ รูปแบบ
ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า ในเกมวอลเลย์บอลหญิง จะมีโอกาสเกิดการรุกโต้กลับมากกว่าทีมชาย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้ความสำคัญในการฝึกการเซตในสถานการณ์การรุกโต้กลับ ซึ่งการเซตจะยากกว่าจากการรับลูกเสริฟเพื่อทำการรุกครั้งแรก first attack ผู้เล่นตัวเซตต้องประสานงานกับเพื่อนร่วมทีมให้ดี จึงต้องฝึกเพื่อให้เกิดทักษะการประสานงานที่ดี

ในการฝึกผู้เล่นตัวเซต นอกจากการฝึกทักษะพื้นฐานต่าง ๆ แล้ว ยังต้องฝึกให้ตัวเซตมีวิสัยทัศน์ในการอ่านเกม มีปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็ว การตัดสินใจที่ดี และความสามารถในการนำเอาเทคนิคที่ผู้ฝึกสอนแนะนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องด้วย

4. การตบทำคะแนน และการสกัดกั้น
การตบและการสกัดกั้นเป็น 2 วิธีการหลัก ๆ ที่ใช้ทำคะแนนในการเล่นวอลเลย์บอล ด้วยเหตุที่นักกีฬาชาย มีพื้นฐานความแข็งแรง ความสามารถในการกระโดดสูง ตบบอลได้หนักหน่วงและมีความเร็วมาก การได้คะแนนส่วนใหญ่จึงมาจากการตบเมื่อเป็นฝ่ายรับเสริฟหรือ First Attack หรือเกิดจากการสกัดกั้นเมื่อเป็นฝ่ายเสริฟ Point Phase ในขณะที่ทีมหญิงมักจะมีการเล่นที่ต่อเนื่องไม่สามารถทำคะแนนได้ในการ firs attack การฝึกซ้อมทีมหญิงควรให้ความสำคัญเรื่องการรุกอย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนกระบวนการจากรับเป็นรุกและจากรุกเป็นรับให้มีความสอดคล้องสัมพันธ์กัน

สมรรถภาพร่างกายของนักกีฬาวอลเลย์บอล


สมรรถภาพร่างกายของนักกีฬาเป็นเรื่องสำคัญและละเอียดอ่อนมาก การฝึกซ้อมเรื่องสมรรถภาพร่างกายผู้ฝึกสอนจะต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ อยู่ในความควบคุมดูแลของผู้เชี่ยวชาญ เพราะอาจจะเกิดอาการบาดเจ็บได้

ในการฝึกซ้อมวอลเลย์บอล ผู้ฝึกสอนส่วนมากจะมุ่งเน้นไปในเรื่องทักษะการเล่น แต่ต้องไม่ลืมว่าเรื่องสมรรถภาพทางร่างกาย ก็ควรเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญมากในการฝึกซ้อมกีฬาทุกประเภท สมรรถภาพทางร่างกายยังเป็นตัวเสริมที่ช่วยให้การฝึกทักษะต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

สมรรถภาพทางร่างกายของนักกีฬาประเภทต่าง ๆ ก็มีความแตกต่างกันตามลักษณะของกีฬาประเภทนั้น ๆ วิธีการเสริมสร้างสมรรถภาพสำหรับนักกีฬาประเภทหนึ่งอาจจะไม่สามารถนำมาใช้กับนักกีฬาอีกประเภทหนึ่งได้ แต่ละประเภทกีฬาจึงมีแบบแผนการสร้างสมรรถภาพของนักกีฬาเฉพาะเจาะจงสำหรับกีฬาประเภทนั้นโดยตรง

สมรรถภาพทางร่างกายที่ดีของนักกีฬาวอลเลย์บอล ช่วยส่งเสริมให้การเล่นในแต่ละทักษะเป็นไปตามที่เราคาดหวังต้องการได้ เช่น

การเป็นตัวตบที่ดี จะต้องมีจังหวะที่ดีในการเข้าตบบอล ทิศทางของบอลถูกต้อง มีความเร็ว และน้ำหนัก และตัวตบที่ยอดเยี่ยมนั้นยังสามารถเลือกได้ว่าจะตบบอลไปลงที่ส่วนไหนในฝั่งคู่ต่อสู้

การเป็นผู้สกัดกั้นที่ดี จะต้องมีการเคลื่อนที่ในด้านข้างได้ดี เพื่อสามารถเคลื่อนที่แนวขนานกับตาข่ายเพื่อทำการกระโดดสกัดกั้นได้

ผู้เล่นตัวเซ็ตจะต้องมีปฏิกิริยาต้องตอบสนองต่อการรับของเพื่อนร่วมทีม สามารถเข้าสู่ตำแหน่งในการเซ็ตได้ ซึ่งผู้เล่นตัวเซ็ตที่ดีจะปฏิบัติได้เหมือนเป็นเรื่องง่าย ๆ

ผู้เล่นตัวรับอิสระและผู้เล่นในแนวรับคนอื่น ๆ ที่ต้องพยายามตั้งรับการรุกจากฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าจะเป็นการตบหรือหยอด ผู้เล่นตัวรับอิสระที่ดีจะต้องมีปฏิกิริยา และการเคลื่อนที่ที่ดี เคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ถูกต้องเพื่อเล่นบอล
ที่ได้กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งในทักษะการเล่นวอลเลย์บอล ที่ผู้เล่นจะต้องปฏิบัติในขณะที่อยู่ในสนามฝึกซ้อม และสนามแข่งขัน เราพบเห็นอยู่เป็นประจำว่าในระหว่างเกมการแข่งขันนั้น ความแตกต่างระหว่างผลชนะและแพ้เป็นนอกจากเรื่องของทักษะและการฝึกซ้อมแล้ว ในการแข่งขันที่ระดับความสามารถของนักกีฬาใกล้เคียงกัน ความแตกต่างด้านสมรรถภาพเป็นสิ่งที่ตัดสินผลการแข่งขันได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับผู้ฝึกสอนที่ต้องออกแบบการฝึกซ้อมด้านสมรรถภาพร่างกายสำหรับการเล่นวอลเลย์บอลด้วย

-----------------------------------------------------------------
การฝึกสมรรถภาพของนักกีฬาวอลเลย์บอลประกอบด้วยปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้คือ

พลังกล้ามเนื้อ(Power)
รูปแบบของพลังกล้ามเนื้อที่ใช้ในกีฬาวอลเลย์บอล
· พลังกล้ามเนื้อที่ใช้ในการกระโดดขึ้นจากพื้น(Take–off Power)
· พลังกล้ามเนื้อที่ใช้ในการลงสู่พื้น(Landing Power)ใช้พลังกล้ามเนื้อเพื่อลดแรงกระแทกในขณะที่ลงสู่พื้นการพัฒนาพลังกล้ามเนื้อของขา จะเพิ่มความสามารถในการกระโดด เพื่อเล่นลูกเหนือตาข่ายในเกมรุก และกระโดดเพื่อสกัดกั้นในเกมรับ
"การฝึกพลังกล้ามเนื้อจะใช้วิธีการฝึก Weight Training และ Plyometric"


ความแข็งแรง (Strength)
เป็นความสามารถกล้ามเนื้อที่หดตัวกระทำต่อแรงต้านให้ได้สูงสุด เช่นการยกน้ำหนัก การผลัก การดัน เป็นต้น มีความสำคัญในการเล่นกีฬาทุกชนิดทุกเพส ทุกวัย ความรุนแรงของการหดตัวจะขึ้นอยู่กับกระแสประสาทที่มากระตุ้น ถ้ากระแสประสาทหลั่งมากระตุ้นเซลล์กล้ามเนื้อมากการหดตัวของกล้ามเนื้อก็จะเกิดได้แรงมากตามไปด้วย ความแข็งแรงประกอบด้วย

- ความแข็งแรงสูงสุด (Maximum Strength) เป็นความสามารถของกล้ามเนื้อที่หดตัวกระทำต่อแรงต้านได้แรงสูงสุดใน 1 ครั้ง เช่นการยกน้ำหนักได้น้ำหนักมากที่สุดเท่าที่จะสามารถยกได้เป็นต้น
- ความแข็งแรงแบบอิลาสติก (Elastic Strength) เป็นความสามารถของกล้ามเนื้อที่หดตัวกระทำต่อแรงต้านด้วยความรวดเร็ว เช่นการทุ่ม การขว้าง การกระโดด เป็นต้น
- ความแข็งแรงแบบทนทาน (Strength Endurance) เป็นความสามารถของกล้ามเนื้อที่หดตัวระทำต่อแรงต้านซ้ำๆกันได้นานที่สุดเช่น การดึง การปล้ำในมวลปล้ำ เป็นต้น

การพัฒนาความแข็งแรง (Strength Development)
การฝึกเพื่อพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมีวิธีการมากมาย การฝึกด้วยน้ำหนักหรือการฝึกด้วยแรงต้านเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่พัฒนาความแข็งแรงได้เป็นอย่างดี เนื่องจากสามารถกำหนดความหนักในการฝึกได้ถูกต้องชัดเจนมากกว่าวิธีการอื่น น้ำหนักจากการฝึกจะกระตุ้นเซลล์กล้ามเนื้อให้เกิดการพัฒนาให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น (hypertrophy) ทำให้การหดตัวของกล้ามเนื้อแต่ละครั้งได้แรงมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ความหนักที่ใช้ในการฝึกจะเป็นตัวกำหนดขาดของเส้นใยกล้ามเนื้อเช่นเดียวกัน

การฝึกความแข็งแรงแบบทนทานของกล้ามเนื้อขนาดของกล้ามเนื้อจะมีขนาดเล็กกว่าการฝึกความแข็งแรงสูงสุด การฝึกเพื่อพัฒนาความแข็งแรงควรพิจารณาดังนี้

- Resistance หมายถึงความหนักหรือแรงต้านที่ใช้ในการฝึกจะต้องเหมาะสมกับการฝึกความแข้งแรงแต่ละแบบ
- Repetitions หมายถึงจำนวนครั้งของการฝึก การฝึกความแข็งแรงแต่ละแบบจะใช้จำนวนครั้งในการฝึกที่แตกต่างกัน การฝึกความแข็งแรงสูงสุดจะใช้น้ำหนักมากการฝึกความแข็งแรงแบบทนทานจะใช้น้ำหนักน้อย
- Set หมายถึงจำนวนเวทหรือจำนวนยกที่ฝึกแต่ละวัน

ความเร็ว (Speed)
ความเป็นความสามารถในการเคลื่อนที่หรือเคลื่อนไหวจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งด้วยเวลาที่น้อยที่สุดเช่น การวิ่ง 100 เมตร การว่ายน้ำ หรือความเร็วในการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ ความเร็วไม่ได้มีความหมายเฉพาะความเร็วเชิงเส้นเท่านั้น แต่ยังหมายความรวมถึงความเร็วในการเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ การกลับตัวเช่นในกีฬาประเภททีมต่างๆ ที่มีการวิ่งไปกลับมีทิศทางการเคลื่อนที่ที่ไม่แน่นอน หรือความเร็วของอวัยวะต่างๆที่ทำงาน เช่นความเร็วในการทุ่ม การขว้าง การกระโดด เป็นต้น การพัฒนาความเร็ว (Speed development)
ในการพัฒนาความเร็วจำเป็นต้องมีสมรรถภาพทางกายด้านอื่นเป็นพื้นฐานโดยเฉพาะความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเพื่อใช้ในการหดตัวของกล้ามเนื้ออย่างรวดเร็ว และในการฝึกเพื่อพัฒนาความเร็วจำเป็นต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควรในการฝึกเนื่องจากเกี่ยวข้องทั้งระบบกล้ามเนื้อและระบบประสาทสั่งการ



การประสานสัมพันธ์ประสาทกล้ามเนื้อ (Coordination)
คนส่วนใหญ่เชื่อว่าการประสานสัมพันธ์ประสาทกล้ามเนื้อ (Coordination) เป็นเรื่องของกรรมพันธุ์หรือพรสวรรค์ ซึ่งก็เป็นความจริงอยู่บ้าง ซึ่งเป็นความสามารถที่หลากหลายในการเคลื่อนที่อย่างสมดุลในการปฏิบัติทักษะต่างๆ
การประสานสัมพันธ์ประสาทกล้ามเนื้อ จำเป็นต้องอาศัยสมรรถภาพทางกายทุกด้านนำมาผสมผสานกันในการเคลื่อนที่ เคลื่อนไหว หรือปฏิบัติทักษะต่างๆ การประสานสัมพันธ์ประสาทกล้ามเนื้อ เป็นสิ่งที่สามารถฝึกได้ โดยเฉพาะถ้าเริ่มฝึกตั้งแต่ยังเด็ก นอกจากนี้การฝึกเฉพาะเจาะจง ไม่ได้ช่วยในการฝึกการประสานสัมพันธ์ประสาทกล้ามเนื้อได้ดีเท่าไรนัก ดังนั้นนักกีฬาควรได้รับการฝึกที่หลากหลายด้วยกิจกรรมต่างๆตั้งแต่ไม่มีอุปกรณ์และมีอุปกรณ์ประกอบ


ความคล่องแคล่วว่องไว(Agility)
การพัฒนาความคล่องแคล่วว่องไวช่วยเพิ่มความสามารถในการเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

การฝึกความคล่องแคล่วสามารถใช้วิธีการฝึกดังนี้ การวิ่งเปลี่ยนทิศทางรูปแบบต่างๆ เช่น วิ่งกลับตัว วิ่งซิกแซก วิ่งอ้อมหลัก ฯลฯ และการฝึกเพื่อเพิ่มความเร็วของเท้า (Foot work) โดยใช้บันไดลิง (Ladder)หรือ รั้ว


ความอ่อนตัว (Flexibility)
เป็นความสามารถในการเคลื่อนไหวของข้อต่อต่างๆ การยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ เอ็นกล้ามเนื้อบริเวณข้อต่อนั้นๆ ความอ่อนตัวเป็นตัวกำหนดช่วงการเคลื่อนไหว (range of motion) ซึ่งจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ เอ็นกล้ามเนื้อ และพังผืดรอบข้อต่อ นักกีฬาที่มีความอ่อนตัวดีจะส่งเสริมการเคลื่อนไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญช่วยยังป้องกันและลดการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา ส่วนนักกีฬาที่มีความอ่อนตัวน้อยการเคลื่อนไหวกะลดประสิทธิภาพลงและนำไปสู่ปัญหาการบาดเจ็บตามมา ความอ่อนตัวจะลดลงเมื่อมีอายุมากขึ้นจำเป็นต้องมีการฝึกเป็นประจำ


การพัฒนาความอ่อนตัว
ความอ่อนตัวสามารถพัฒนาได้ด้วยดารยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ข้อต่อต่างๆ ยิ่งมีการฝึก มากเท่าไรความอ่อนตัวจะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะกีฬาประเภททีมความยืดหยุ่นของข้อเท้าสะโพกเป็นสิ่งที่สำคัญ การยืดเหยียดมี 2 วิธี คือ


- การยืดเหยียดแบบแอคทีฟ (active stretching) เป็นการยืดเหยียดด้วยตนเองสามารถความคุมระยะหรือช่วงของการเคลื่อนไหวได้ด้วยตนเองทั้งและอยู่กับที่และเคลื่อนที่
- การยืดเหยียดแบบแพสสีฟ (passive stretching) เป็นการยืดเหยียดที่มีผู้ช่วยเพื่อเพิ่มช่วงการเคลื่อนไหวให้มากกว่าที่สามารถปฏิบัติได้เองจะทำให้เพิ่มช่วงการเคลื่อนไหวได้มากขึ้น


ความทนทาน (Endurance)
ความทนทานเป็นสมรรถภาพทางกายพื้นฐานที่จะส่งเสริมสนับสนุนสมรรถภาพทางกาย ด้านอื่นๆ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งแบ่งป็น 2 ชนิด

- ความทนทานแบบแอโรบิค (Aerobic endurance)
- ความทนทานแบบแอนแอโรบิค (Anaerobic endurance)


ความทนทานแบบแอโรบิค (Aerobic endurance)
แอโรบิค หมายถึง ต้องมีการใช้ออกซิเจนในการสันดาปพลังงานในการทำงาน ของกล้ามเนื้อ การสันดาปพลังงานที่มีออกซิเจนจะให้พลังงานได้มากกว่าที่ไม่มีออกซิเจน แต่จะให้พลังงานได้ช้ากว่าเท่านั้นและยังไม่เกิดกรดแลคติกซึ่งเป็นกรดที่ขัดขวางการหดตัวของกล้ามเนื้อและทำให้เกิดอาการเมื่อล้าได้ง่าย
การที่ร่างกายสามารถนำออกซิเจนไปใช้ได้ในระดับที่มีการออกกำลังกายที่หนักมากขึ้นและเป็นเวลานานได้แสดงให้ว่าร่างกายไม่เกิดกรดแลคติกที่ทำให้เกิดการล้านั้นเอง ความทนทานแบบแอโรบิคจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากระบบไหลเวียนเลือดและระบบหายใจที่ดีจึงจะสามารถส่งเลือดที่มีทั้งสารอาหารและออกซิเจนไปสู่กล้ามเนื้อได้ดี จึงทำให้นักกีฬาสามารถฝึกซ้อมหรือแข่งขันได้เป็นระยะเวลานานโดยเกิดอาการล้าน้อยที่สุด


ความทนทนแบบแอนแอโรบิค (Anaerobic endurance)
แอนแอโรบิค หมายถึง ไม่มีการใช้ออกซิเจนในการสันดาปพลังงานในการทำงานของกล้ามเนื้อ การสันดาปพลังงานที่ไม่มีออกซิเจนจะให้พลังงานได้น้อยกว่าที่มีออกซิเจนแต่จะให้พลังงานได้รวดเร็วกว่าแต่สิ่งที่ตามจากกระบวนการสันดาปคือเกิดกรดแลคติกซึ่งเป็นกรดที่ขัดขวางการหดตัวของกล้ามเนื้อและทำให้เกิดอาการเมื่อล้าได้ง่าย นักกีฬาที่มีความทนทานด้านนี้ดีจะทนต่ออาการล้าได้ดีกว่าซึ่งถือว่าได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาวต่อไป



การพัฒนาความทนทาน (Endurance development)
วิธีการฝึกเพื่อพัฒนาความทนทานที่ดีนั้นควรคำนึงถึงแหล่งพลังงานที่แต่ละชนิดกีฬาใช้เป็นหลักทั้ง ความทนทานแบบแอโรบิค (Aerobic endurance) ความทนทานแบบแอนแอโรบิค (Anaerobic endurance) จะเป็นสัดส่วนกันในแต่ละชนิดกีฬาบางชนิกีฬาต้องการความทนทานแต่ละด้านแตกต่างกันออกไป การฝึกแบบหนักสลับเบาเป็นการฝึกเพื่อพัฒนาความทนทานได้ดีอีกวิธีการหนึ่ง ซึ่งมีองค์ประกอบดังนี้

- Intensity หมายถึง ความหนัก ในการฝึกในแต่ละครั้ง
- Duration หมายถึง เวลาในการฝึกแต่ละครั้ง
- Recovery หมายถึง การพักแต่ละครั้งหรือแต่ละเซท
- Recovery activity หมายถึง กิจกรรมที่กระทำระหว่างพัก
- Repetitions หมายถึง จำนวนครั้ง จำนวนเที่ยวในการฝึก



อย่าลืมว่าการฝึกสมรรถภาพร่างกายต้องอยู่ในความควบคุมดูแลของผู้ฝึกสอนหรือผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด เพราะเสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้ง่าย

18.6.52

คลิบ วอร์ม อบอุ่นร่างกาย

Jump Ex



Slice




Increase Vertical Jump

คลิปแบบฝึกทักษะการอันเดอร์ เซ็ทบอลแบบต่างๆ

แบบฝึกการตั้งรับบอล





แบบฝึก 4 players 1ball Side to Side



แบบฝึก 5 players 1 group 2 balls




แบบฝึก Dig Position 5 Diagonal to 1 Off hands Centerback



แบบฝึก Dig 2 hard ball Short Deep



แบบฝึกรับบอลแบบอันเดอร์




แบบฝึกวิธีการถอยหลังเพื่อตั้งรับ

15.6.52

หลักการฝึกซ้อมวอลเลย์บอล

ในการฝึกซ้อมวอลเลย์บอลนั้น แบบฝึกต่าง ๆ ที่เราใช้ก็เพื่อประสิทธิภาพด้านต่าง ๆ ให้แก่นักกีฬา เช่น การควบคุมบอล การก้าวเท้า จังหวะเท้า และ จังหวะ Timing ในการกระโดดหรือสกัดกั้น หรือสมรรถภาพทางร่างกาย

ผู้ฝึกสอนและนักกีฬาจะต้องเข้าใจถึงความสำคัญของวัตถุประสงค์ในการฝึก วัตถุประสงค์ของฝึกอาจเพื่อแก้ปัญหาหรือปรับปรุงทักษะการเล่นวอลเลย์บอลบางอย่าง เช่น การรับบอลหรือการตบบอล เป็นต้น

ผู้ฝึกสอนควรจะต้องมีวัตถุประสงค์ในการฝึกอย่างชัดเจนซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์มาก เช่น
- หากผู้เล่นเข้าใจวัตถุประสงค์ของการฝึก จะทำให้นักกีฬาเกิดความสนใจมากขึ้นรู้เป้าหมายที่จะต้องปฎิบัติ
- แบบฝึกสำหรับวอลเลย์บอลมีความสำคัญช่วยในการ พัฒนานิสัยหากผู้เล่นใส่ใจในวิธีการฝึกให้ถูกต้อง จะทำให้ผู้เล่นให้ความสนใจสามารถปรับปรุงแก้ไขในระหว่างการแข่งขันได้อย่างรวดเร็ว
- หากผู้ฝึกสอนตั้งเป้าหมายโดยเฉพาะจะทำให้ผู้เล่นเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น ผลของการฝึกจะเกิดประสิทธิภาพมาก

การฝึกวอลเลย์บอล สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท
1. ทักษะและการเคลื่อนไหวเฉพาะ (Skill and Movement Specific)
2. เกี่ยวกับยุทธวิธี, ระบบ, ยุทธศาสตร์ (Tactical, Systematic, Strategic)
3. สมรรถภาพทางร่างกาย (Volleyball Conditioning Specific)



การฝึกทักษะและการเคลื่อนที่ Skill and Movement Specific

การฝึกทักษะวอลเลย์บอลและการเคลื่อนที่ เป็นการฝึกประเภทที่ผู้ฝึกสอนควรต้องให้นักกีฬาปฎิบัติทุกวันอย่างสม่ำเสมอ การฝึกทักษะและการเคลื่อนที่ ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยเพิ่มทักษะการเล่นวอลเลย์บอลของนักกีฬาด้วยการฝึกอย่างสม่ำเสมอ

ผู้ฝึกสอนจะต้องเข้าใจว่าวัตถุประสงค์ของแบบฝึกเหล่านี้คือการพัฒนาทักษะการเล่นเช่น การรับ การเสริฟ การตบ การเซ็ตการเคลื่อนที่ทักษะต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ใช่ การฝึกเกี่ยวกับสมรรถภาพร่างกายของนักกีฬาวอลเลย์บอล
นอกจากนี้สิ่งสำคัญสำหรับนักกีฬาทุกคนคือ ต้องเข้าใจวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงของแต่ละแบบฝึก และต้องใส่ใจสนใจว่าแต่ละแบบฝึกต้องการอะไร

ผู้ฝึกสอนเองสามารถใช้การฝึกซ้ำ ๆ เพื่อสร้างนิสัย นักกีฬาให้เกิดความเคยชินเพื่อให้ฝึกอย่างมีวัตถุประสงค์และเป้าหมาย

การฝึกสำหรับผู้เล่นในระดับเริ่มต้น ควรเลือกใช้แบบฝึกให้เหมาะสมกับเทคนิคการเล่น
สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักให้ดีว่าทุกวินาทีที่เสียไปในสนาม ไม่ว่าจะเป็นการฝึกซ้อมหรือแข่งขัน ให้ปฎิบัติให้เหมือนกันมีความตั้งใจทั้งในสนามฝึกซ้อมและแข่งขัน โดยสร้างให้เป็นนิสัย โดยปกติในการฝึกซ้อมนักกีฬามักจะไม่ค่อยสนใจเมื่อระยะเวลาการฝึกซ้อมผ่านไประยะหนึ่ง
แบบฝึกวอลเลย์บอลควรจะพัฒนาขึ้น ผู้ฝึกสอนจะต้องพัฒนาเพิ่มระดับความยากของแบบฝึกขึ้นอยู่กับประสบการณ์การเล่นและเวลาที่ฝึกซ้อม

การฝึกซ้อมพัฒนาทักษะส่วนบุคคล ผู้ฝึกสอนสามารถออกแบบการฝึกหลาย ๆ ทักษะเพื่อฝึกร่วมกันได้เช่น การฝึกเคลื่อนเล่นลูกมือล่างพร้อมกับการฝึกตบ แต่สิ่งที่สำคัญคือในแต่ละทักษะจะต้องไม่ละเลยวัตถุประสงค์ของแต่ละทักษะนั้น


การฝึกเกี่ยวกับยุทธวิธี ระบบ ยุทธศาสตร์ Tactical, Systematic, Strategic

การฝึกเกี่ยวกับ แทคติก ระบบ และกลยุทธ์ เป็นการฝึกที่มุ่งเน้นความเป็นทีม ซึ่งแบบฝึกเหล่านี้จะรวมเอาทักษะการเล่นส่วนบุคคลต่าง ๆ ของนักกีฬาเข้ามาในแบบฝึก ดังนั้นการฝึกเกี่ยวกับแทคติก ระบบทีม กลยุทธ์ต่าง ๆ เหล่านี้จะมีประสิทธิภาพมากที่สุดก็ต่อเมื่อได้พัฒนาทักษะการเล่นส่วนบุคคลให้ดีขึ้นแล้ว

ผู้ฝึกสอนโดยมากมักจะมีปรัชญาที่แตกต่างกันในการฝึกเรื่องแทคติก ระบบทีม กลยุทธ์ เพราะความแตกต่างกันของความสามารถ พรสวรรค์จุดแข็งและจุดอ่อนของผู้เล่นแต่ละทีม ด้วยเหตุนี้เองทำให้แบบฝึกของแต่ละทีม ของผู้ฝึกสอนแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป

การสร้างแบบฝึกที่มีเอกลักษณ์และแตกต่างไปจากที่อยู่ที่ใช้อยู่เป็นประจำ ทำให้นักกีฬาไม่รู้สึกเบื่อหน่ายจำเจ สามารถจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ในการเล่นและช่วยให้นักกีฬาเกิดความสนุกตื่นเต้นในการฝึกซ้อม ความตั้งใจในการฝึกซ้อมก็มากยิ่งขึ้น

การสร้างความสัมพันธ์ภายในทีมมีความสำคัญอย่างมาก ทุกทีมต้องสื่อสารกันในทีมมีการโต้ตอบกันระหว่างผู้ฝึกสอนกับนักกีฬาและนักกีฬาต่อนักกีฬา เพื่อสร้างความเข้าใจความสัมพันธ์ในการเล่น ผู้ฝึกสอนต้องออกแบบแบบฝึกที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ในทีมด้วย ซึ่งแบบฝึกเหล่านี้มีส่วนสำคัญมากในการสร้างความสำเร็จให้กับทีม


การฝึกเกี่ยวกับสมรรถภาพทางร่างกาย Volleyball Conditioning Specific

แบบฝึกวอลเลย์บอลมักจะได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงองค์ประกอบต่าง ๆ รวมทั้งเรื่องสมรรถภาพทางร่างกายของนักกีฬา ถ้าผู้ฝึกสอนต้องการฝึกเกี่ยวกับสมรรถภาพทางร่างกาย ควรจะต้องแยกฝึกจากการฝึกทักษะ ผู้ฝึกสอนจะต้องตระหนักว่า หากนักกีฬาใช้พลังงานมาก ความสามารถทางด้านเทคนิคจะลดลง ดังนั้นการฝึกสมรรถภาพด้านร่างกายอาจจะต้องฝึกในช่วงก่อนเข้าสู่ฤดูการแข่งขัน เพื่อให้ร่างกายเตรียมพร้อมให้ดีก่อนแทนที่จะฝึกในช่วงการแข่งขัน

ในช่วงฤดูการแข่งขัน การฝึกทักษะและการฝึกสมรรถภาพร่างกาย ควรแยกออกจากกัน เมื่ออยู่ฤดูกาลการแข่งขัน นักกีฬาต้องการฝึกซ้อมทักษะต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งสภาพร่างกายจะต้องพร้อม จึงจำเป็นต้องแยกการฝึกทักษะกับสมรรถภาพเป็นคนละวัน

เนื้อหาทั้งหมดที่ได้นำเสนอมานั้นเป็นการสรุปแนวคิดวิธีการฝึกซ้อมวอลเลย์บอลเพื่อช่วยเป็นแนวทางสำหรับนักกีฬาและผู้ฝึกสอนได้นำไปใช้ไปปฏิบัติ อย่างเป็นระบบ

แบบฝึกการรับบอลตำแหน่ง 1 และตำแหน่ง 5




แบบฝึกการรับบอลแต่ละตำแหน่งที่นำเสนอนี้ เป็นแบบฝึกที่ใช้สำหรับฝึกทักษะการรับส่วนบุคคลอยู่ แต่ระดับความยากจะยากขึ้น และเป็นแบบฝึกของแต่ละตำแหน่งในการรับ

ก่อนจะเข้าสู่แบบฝึก ผมจะแสดงแผนผังของแต่ละตำแหน่งในการเล่นวอลเลย์บอล เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน


ตำแหน่งในการเล่นวอลเลย์บอล
ในการรับบอลแต่ละตำแหน่ง ผู้ฝึกสอนจะต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่าในแต่ละตำแหน่งนั้นโอกาสที่ลักษณะของบอลที่จะมาสู่ตำแหน่งนั้นเป็นบอลลักษณะใดบ้าง เช่นลูกตบที่รุนแรง ลูกหยอด ลูกบอลสัมผัสบล็อก ผู้ฝึกสอนก็จำเป็นต้องอธิบายให้นักกีฬาเข้าใจ และสามารถออกแบบการฝึกซ้อมให้ใกล้เคียงกับสถานการณ์จริงมากที่สุด
ในแต่ละตำแหน่งผมจะอธิบายโดยละเอียดเพื่อที่จะสามารถนำไปประยุกต์ปรับแบบแผนการฝึกซ้อมให้เหมาะสมกับทีมของท่านได้




แบบฝึกการรับบอลตำแหน่งที่ 1 (หลังขวา) และตำแหน่ง 5


ผู้เล่นที่รับบอลตำแหน่งนี้มีโอกาสรับบอลทุกลักษณะ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระบบการป้องกัน ระบบการรับของทีม โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้
- รับบอลตบหัวเสามุมตรง
- รับบอลตบหัวเสาหลังมุมแทยง


วิธีการฝึก
- ผู้ฝึกสอนหรือเทรนเนอร์ยืนบนโต๊ะหน้าตาข่ายฝั่งตรงข้าม
- ผู้เล่นยืนพร้อมรับลูกตบที่หลังเส้นรุก (ตำแหน่ง A)
- ผู้เล่นถอยไปที่ตำแหน่ง B ประมาณ 6 เมตร จากตาข่ายเพื่อรับบอลตบจากผู้ฝึกสอน
- รับเสร็จกลับไปที่จุด A แล้วทำซ้ำ


ฝึกรับ 10-15 ลูกต่อคน นับเฉพาะบอลที่รับเข้าจุดหน้าตาข่าย


ฝึกการรับบอลตำแหน่ง 1

ฝึกการรับบอลตำแหน่ง 5

ข้อแนะนำเพิ่มเติม

- ผู้ฝึกสอนสามารถปรับเปลี่ยนบอลตบเป็นบอลหยอดสลับกันไปก็ได้

- การตบบอลอาจจะให้หลากหลายเช่น ตรงตัว ข้างตัว หนัก เบา สลับกัน


ประมวลภาพการ Best Setters จากแมชต่างๆ

Olympics 2008 volleyball men BEST SETTERS




2007 World Cup Best Setter

การรับลูกเสริฟโดยใช้ผู้เล่น 5 คน Five-Persons Reception Formation




การรับลูกเสริฟโดยใช้ผู้เล่น 5 คนนั้น ผู้เล่นในสนามทุกคนมีหน้าที่รับลูกเสริฟยกเว้นผู้เล่นตัวเซ็ต แต่ทั้งนี้แต่ละทีมก็จะต้องมีผู้เล่นหลักที่ทำหน้าที่รับลูกเสริฟอาจจะมี 1 หรือ 2 คน ในทีมที่มีผู้เล่นตัวรับอิสระ จะให้ผู้เล่นตัวรับอิสระทำหน้าที่เป็นผู้เล่นหลักในการรับลูกเสริฟ
นอกจากนี้การรับลูกเสริฟยังมีความหลากหลายในการยืนตำหน่งรับลูกเสริฟ การแบ่งพื้นที่รับผิดชอบ ซึ่งอาจจะแตกต่างกันไป เช่น เมื่อผู้เล่นตัวเซ็ตอยู่แดนหน้า (front row) จะยืนรับลูกเสริฟอย่างไร ตัวเซ็ตอยู่แดนหลัง (back row) จะยืนอย่างไร



----------------------------
ตัวอย่างในการรับลูกเสริฟโดยใช้ผู้เล่น 5 คน
----------------------------

ผู้เล่นตัวเซ็ตอยู่แดนหน้า





ผู้เล่นตัวเซ็ตอยู่แดนหลัง


จากภาพตัวอย่างการยืนรับลูกเสริฟ จะเห็นว่ารูปแบบการยืนรับจะมีทั้งผู้เล่นแต่ละแดนยืนเป็นแนวเดียวกัน หรือเป็นรูปตัวดับเบิลยู (W) รูปตัววี (V) และแบบซิกแซก

ในการรับลูกเสริฟ ทีมจะต้องมีผู้เล่นรับลูกเสริฟหลักซึ่งเป็นผู้เล่นที่คิดว่ารับลูกเสริฟได้ดีที่สุด(โดยส่วนมากจะเป็นผู้เล่นตัวรับอิสระ) ให้รับผิดชอบพื้นที่ในการรับลูกเสริฟมากกว่าผู้เล่นคนอื่น และเช่นเดียวกันผู้เล่นที่รับลูกเสริฟได้อ่อนที่สุดก็จะต้องให้มีพื้นที่รับผิดชอบน้อยเช่นกัน

รูปแบบการรับลูกเสริฟโดยใช้ผู้เล่น 5 คนรับลูกเสริฟ เหมาะสำหรับทีมในระดับเริ่มต้น สามารถครอบคลุมพื้นที่ทั้งสนาม ส่วนรูปแบบการยืนรับจะใช้ลักษณะใดขึ้นอยู่กับเทคนิคการเสริฟของคู่แข่งขันและศักยภาพของทีมเราเองประกอบด้วย

หลักการฝึกซ้อมรับลูกเสริฟ

การรับลูกเสริฟเป็นเทคนิคที่เกิดขึ้นในการแข่งขันตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งเสร็จสิ้นคิดเป็นประมาณร้อยละ 20 ของทั้งหมดเลยทีเดียว ความสำเร็จของทีมอาจกล่าวได้ว่าขึ้นอยู่กับคุณภาพของการรับลูกเสริฟ หากสามารถรับลูกเสริฟเข้าเป้าหมาย ถือว่าเป็นเทคนิคที่สำคัญที่สุดเทคนิคหนึ่งเลยทีเดียว
คุณภาพของการรับลูกเสริฟจะดีหรือไม่ดี มีปัจจัยหลายอย่างที่เข้ามาเกี่ยวข้องแบ่งได้เป็น ปัจจัยภายใน ซึ่งได้แก่ เทคนิคการเล่นส่วนบุคคล รูปแบบการรับ รวมทั้งเรื่องจิตวิทยาส่วนบุคคล และปัจจัยภายนอก เช่น สภาพแวดล้อมสนามแข่งขัน ผู้ชม คู่แข่ง เป็นต้น ดังนั้นในการออกแบบการฝึกซ้อมของผู้ฝึกสอนจะต้องพยายามให้ครอบคลุมปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ให้มากที่สุด ปัจจัยที่ต้องคำนึงมากที่สุดคือปัจจัยภายใน










หลักการในการฝึกซ้อมการรับลูกเสริฟ ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้


1. เทคนิคการรับส่วนบุคคล


-เทคนิคการรับแบบต่าง ๆ (ดูเทคนิคการรับลูกเสริฟ)


-การเคลื่อนที่ในลักษณะต่าง ๆ ในการรับลูกเสริฟ


-ลักษระท่าทางการรับลูกเสริฟที่ถูกต้อง


2. รูปแบบการรับลูกเสริฟ (ดูรูปแบบการรับลูกเสริฟ)
3. จิตวิทยาในการรับลูกเสริฟ





จิตวิทยาการรับลูกเสริฟ
หลายท่านอาจสงสัยว่าเรื่องจิตวิทยามาเกี่ยวข้องกับการรับลูกเสริฟอย่างไร ที่จริงแล้วการรับลูกเสริฟสาพจิตใจ ความมั่นใจเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้นักกีฬารับลูกเสริฟได้ดีหรือผิดพลาดได้เสมอ เมื่อผู้รับลูกเสริฟตกอยู่ในสภาพความกดดัน เช่น ความกดดันช่วงท้ายเกมส์ ความกดดันที่เกิดจากการรับลูกเสริฟผิดพลาดจนกระทั่งขาดความมั่นใจ แม้กระทั่งสภาพแวดล้ม ผู้ชม ก็สามารถทำให้สภาพจิตใจไม่ปกติหรือที่เราเรียกกันว่าตื่นสนาม ลนลาน ซึ่งจะส่งผลทำให้ระบบการรับของทีมรวนไปได้



สิ่งที่ควรปฏิบัติเพื่อลดความกดดัน
1. แสดงพฤติกรรมเชิงบวกเสมอทั้งในการฝึกซ้อมและการแข่งขัน ทั้งผู้ฝึกสอนและนักกีฬา คือไม่กล่าวโทษกันนั่นเอง ผู้ฝึกสอนต้องแนะนำเทคนิคการรับง่ายที่สุดให้แก่ผู้รับลูกเสริฟเมื่อเกิดความผิดพลาด (ผลด้านจิตวิทยา)
2. นักกีฬาในทีมต้องให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ในเรื่องการรับลูกเสริฟ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เล่นตัวเซ็ตซึ่งส่วนใหญ่จะต้องเล่นลูกในจังหวะต่อจากนั้น รวมถึงตัวรุกซึ่งเกี่ยวข้องกับผลจากการรับลูกเสริฟโดยตรง
3. ลืมความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ผู้เล่นตัวเซ็ตและผู้เล่นตัวรุก ต้องช่วยกันแก้ไขความผิดพลาดของบอลแรกนั้น โดยพยายามใช้ทักษะเล่นลูกนั้นให้ดีที่สุดเพื่อแก้ไขบอลนั้นโดยพยายามไม่ให้เกิดความเสียหาย
4. ผู้ฝึกสอนจะต้องจำลองสถานการณ์ความกดดันในการรับลูกเสริฟ ให้ใกล้เคียงกับการแข่งขันให้มากที่สุดในการฝึกซ้อม เพื่อให้นักกีฬาเกิดความเคยชินและสามารถจัดการกับความกดดันได้


พื้นที่เป้าหมายในการรับลูกเสริฟ (Target Zone)
1. การรับลูกเสริฟที่สมบูรณ์บอลจะอยู่บริเวณพื้นที่การเซ็ตของตัวเซ็ตหน้าตาข่าย (พื้นที่ A)
2. หากไม่สามารถรับบอลให้สมบุรณ์ได้ก็ควรให้อยู่บริเวณในเขตแดนรุก (พื้นที่ B) ผู้เล่นตัวเซ็ตต้องคิดเสมอว่ายังเป็นลูกดีอยู่ เพราะยังสามารถเล่นแผนการรุกได้
2. หากเกิดความไม่มั่นใจในการรับ ควรพยายามรับบอลให้อยู่บริเวณเส้นเขตรุกโดยให้บอลลอยสูงไว้ก่อน (พื้นที่ C)



การลดความกดดันในการรับลูกเสริฟ


- พยายามรับเสริฟให้ดีที่สุดโดยพยายามให้เข้าจุด A


- หากไม่สามารถทำได้ให้คิดว่าจุด B ก็ยังเป็นบอลที่ดีอยู่ตัวเซ็ตสามารถเล่นได้


- หากไม่มั่นใจในการรับลูกเสริฟพยายามรับลูกเสริฟให้ลอยสูงในบริเวณเส้นเขตรุก C บอลก็ยังไม่เสีย
การตั้งเป้าหมายไว้เป็นระดับเช่นนี้จะช่วยลดความกดดันได้ สามารถช่วยพัฒนาการรับลูกเสริฟให้ดียิ่งขึ้น


แบบฝึกการควบคุมบอล Ball Control Drills

ในการเล่นวอลเลย์บอล การควบคุมบอลให้ได้ทิศทางตามที่เราต้องการเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เป็นทักษะพื้นฐานของการป้องกัน รวมไปจนถึงการรุก หากเราควบคุมบอลได้ดี เราก็สามารถสร้างสรรค์เกมส์รุกได้หลากหลายรูปแบบ



การควบคุมบอลแนวตรง Straight Line



จุดประสงค์

- ฝึกการควบคุมบอลในแนวตรง


การเตรียมฝึก

1. แบ่งผู้เล่นออกเป็น 4 กลุ่มๆ ละ 3 คน แบ่งทั้ง 4 กลุ่มเป็น 2 ข้างๆ ละ 2 กลุ่ม

2. ผู้เล่นคนที่ 1 ของแต่ละกลุ่มอยู่บริเวณหน้าตาข่าย คนที่ 2 และ 3 ตั้งแถวที่บริเวณ 6 เมตร จากตาข่าย

3. ผู้เล่น 1 ทำหน้าที่เซ็ต ผู้เล่น 2 ทำหน้าที่ตบ ผู้เล่น 3 คอยแทนที่ผู้เล่น 2 เมื่อตบบอลไปแล้ววิธึการฝึก เริ่มด้วยผู้เล่นทำการตบบอลจากแดนหลัง Back Row ไปยังผู้เล่นอีกลุ่มหนึ่งฝั่งตรงข้าม ผู้เล่นหมายเลข 2 ของฝั่งตรงข้ามรับบอลไปที่หมายเลข 1 ทำการเซ็ตบอลมาให้ผู้เล่นหมายเลข 2 ตบบอลจากแดนหลังกลับไปยังฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง หมายเลข 1 เซ็ตบอลแล้วให้วิ่งกลับมาต่อท้ายแถวในกลุ่มของตนเอง หมายเลข 2 เมื่อตบบอลแล้ว ให้ไปทำหน้าที่เซ็ตบอล หมายเลข 3 เมื่อหมายเลข 2 ตบบอลแล้ว ให้รอบรับบอลตบจากแดนหลัง ของฝั่งตรงข้าม


ข้อควรจำ

- การตบจากแดนหลังให้ใช้น้ำหนักประมาณ 50 % และค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจนสูงสุดที่ประมาณ 70 %
- เน้นเรื่องการรับบอลให้เข้าเป้าหมายที่สุด ใช้เวลาการฝึกประมาณ 10 - 15 นาที





การควบคุมบอลแนวแทยง Cross Court



จุดประสงค์

- ฝึกการควบคุมบอลในแนวแทยงวิธีการฝึก เหมือนกับการฝึกการควบคุมบอลในแนวตรง แต่เปลี่ยนจากแนงตรงเป็นแนวแทยงมุม






การควบคุมบอลเป็นระบบทีม Basic Team Ball Control Drill


จุดประสงค์
- ฝึกการควบคุมบอลเป็นระบบทีม
การเตรียมฝึก
- แบ่งผู้เล่นออกเป็น 2 ฝั่งๆ ละ 6 คน โดยแต่ละฝั่งจะมีผู้เล่น หมายเลข 1 อยู่หน้าตาข่าย หมายเลข 2,3,4 อยู่ในแนวรับ และผู้เล่นหมายเลข 5,6 อยู่บริเวณนอกสนามวิธีการฝึก ผู้ฝึกสอนจะโยนบอลให้ผู้เล่นฝั่งใดฝั่งหนึ่งทำการตบบอลจากแดนหลัง
- ผู้เล่นหมายเลข 4 ตบบอลแล้ว ให้วิ่งไปแทนที่ผู้เล่นหมายเลข 1 ที่ทำการเซ็ตในกลุ่มของตนเอง
- ผู้เล่นหมายเลข 1 ที่เซ็ตบอลให้เพื่อนทำการรุกแล้ว ให้วิ่งไปที่ท้ายสนาม
- ผู้เล่นหมายเลข 5 ที่อยู่ท้ายสนามเข้าไปรอรับบอลรุก แทนที่ผู้เล่นหมายเลข 4
ข้อสังเกตุ
- ผู้เล่นคนใดที่ทำการรุก เมื่อรุกแล้วจะต้องเปลี่ยนไปทำการเซ็ต
- การรุกจากแดนหลัง จะตบบอลไปบริเวณใดก็ได้ ไม่จำกัดน้ำหนักและทิศทาง
- ผู้ฝึกสอนพยายามเน้นเรื่องการควบคุมบอลและทิศทางให้มากที่สุด